ชาว cupo คงเคยได้ยินเรื่องราวของประเทศ Landlock หรือ ประเทศที่ไม่มีทางออกทะเลกันมาบ้าง ซึ่งทั่วโลกมีอยู่ด้วยกัน 45 ประเทศ แต่สำหรับประเทศ Enclave ที่เรานำมาเสนอกันในวันนี้ เป็นขั้นกว่าของ Landlock เพราะนอกจากจะไม่มีทางออกสู่ทะเล กลับยังไปตั้งอยู่ในพื้นที่ของประเทศอื่นอีกด้วย ลองเดากันดูเล่น ๆ ว่ามีประเทศอะไรบ้าง
ราชอาณาจักรเลโซโท
ดินแดนที่เป็นประเทศเล็กๆมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณสามหมื่นตารางกิโลเมตรใกล้เคียงกับจังหวัดนครราชสีมากับขอนแก่นของไทยรวมกัน แต่พื้นที่ทั้งหมดของราชอาณาจักรนั้นถูกล้อมเอาไว้หรือตั้งอยู่ในเขตแดนของประเทศแอฟริกาใต้ทางภาคตะวันออกชื่อเดิมคือ มาโซโทแลนต์หรือดินแดนของชาวโซโทหรือซูโท ชนเผ่าดั้งเดิมในแถบนี้ที่มีวัฒนธรรมรากเหง้าชีวิตความเป็นอยู่ตลอดจนภาษาของตนเองและเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ หนึ่งในเอกลักษณ์ที่สําคัญคือผ้าห่มทอมือจากขนสัตว์และหมวกจักสานที่ชาวโซโทนิยมใส่กันและเป็นสัญลักษณ์สําคัญที่ปรากฏอยู่บนธงชาติอีกด้วย เลโซโทนั้นเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยภูเขาและที่ราบสูงมีหลักฐานแสดงถึงการดํารงอยู่ของไดโนเสาร์มาก่อนทั้งยังเป็นประเทศเดียวในโลกที่พื้นที่ทั้งหมดของประเทศนั้น
อยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึงหนึ่งพันเมตรเป็นหลังคาของทวีปแอฟริกาเป็นอาณาจักรแห่งท้องฟ้าที่สามารถมองเห็นดวงดาวต่างๆในกาแล็กซี่ได้อย่างชัดเจนเมืองหลวงคือ มาเซรู มีสนามบินนานาชาติของตนเอง แต่ผู้คนที่เดินทางไปยังประเทศนี้ส่วนใหญ่นั้นจะแวะไปที่โจฮันเนสเบิร์กเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศแอฟริกาใต้ก่อน แล้วจึงค่อยต่อไปยัง เลโซโทประเทศเล็กๆนี้มีประชากรประมาณสองจุดหนึ่งล้านคนเกือบทั้งหมดราวเก้าสิบเปอร์เซ็นต์นับถือคริสต์ศาสนาและมีฐานะยากจน
ประเทศปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นํารัฐบาลผสมจากหลายพรรค เลโซโทนับเป็นหนึ่งในสามของประเทศทวีปแอฟริกาที่ยังคงมีกษัตริย์ทําหน้าที่ประมุขแห่งรัฐ กษัตริย์องค์ปัจจุบันของเรโสคือกษัตริย์เรทซีที่สามที่ทรงปกครองประเทศมาตั้งแต่ปีหนึ่งพันเก้าร้อยเก้าสิบหก เลโซโทเคยอยู่ใต้การอารักขาของอังกฤษมานานนับร้อยปีก่อนที่จะเป็นอิสระในปีหนึ่งพันเก้าร้อยหกสิบหกและตั้งชื่อประเทศว่าอาณาจักรเลโซโท โดยคําว่า เลโซโทมีความหมายว่าดินแดนที่พูดภาษาเซโซโท ซึ่งบ่งบอกความภาคภูมิใจในชาติพันธุ์และความเป็นมาของผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่
ซาน มาริโน่
ซาน มาริโน่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอิตาลีใกล้กับทะเลเอเลนติกเป็นประเทศสาธารณรัฐที่ไม่ได้ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ย้อนหลังไปถึงคริสราชสามร้อยหนึ่ง ช่างสกัดหินชื่อ Marinusได้อพยพลี้ภัยการรุกรานจักรพรรดิแห่งโรมัน ซึ่งต่อต้านคริสศาสนามาตั้งชุมชนชาวคริสต์เล็กๆขึ้นที่ยอดเขาไทเทโนบนเทือกเขาแอปแพนไนน์ต่อมา Marinus ได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญจึงเรียกขานดินแดนนี้ว่า ซานมาริโน่และด้วยทําเลที่ตั้งบนเขาสูงทําให้ยากต่อการถูกรุกราน แม้จะเคยเพลี่ยงพล้ําไปบ้างแต่ก็ยังคงอธิปไตยแห่งรัฐได้เสมอมาและในอดีตยังเคยเป็นที่ลี้ภัยของผู้มีอํานาจคนสําคัญในยุโรปอีกด้วย
ซาน มาริโน่ปัจจุบันนับเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดเป็นอันดับสามของยุโรปและอันดับห้าของโลกมีพื้นที่เพียงแค่หกสิบเอ็ดตารางกิโลเมตรเท่านั้น หรือเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือใหญ่กว่าเมืองพัทยาของบ้านเราเล็กน้อยไม่มีกองกําลังทหารของตนเอง ต้องอาศัยการดูแลคุ้มครองจากอิตาลีมีประชากรสามหมื่นสี่พันคนเมืองหลวงมีชื่อเดียวกับชื่อประเทศคือซาน มาริโน่แบ่งการปกครองออกเป็นเก้าเขตมีผู้แทนที่มีการคัดเลือกกันทุกๆห้าปี โดยมีประมุขของรัฐสองคนร่วมกันปกครองประเทศ ซาน มาริโน่นับว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยรายได้หลักมาจากการท่องเที่ยวเฉลี่ยต่อคนต่อปีตามจํานวนประชากรแล้ว นับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สูงแหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญคือโบสถ์วิหารและป้อมปราการที่ตั้งอยู่บนเขาสูง
นครรัฐวาติกัน
ประเทศที่เล็กที่สุดในโลกทั้งในแง่ของขนาดและปริมาณตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางกรุงโรมของประเทศอิตาลีพื้นที่ของทั้งประเทศนั้นมีขนาดไม่ถึงหนึ่งตารางกิโลเมตร เพียงแค่สี่แสนสี่หมื่นตารางเมตรหรือสองร้อยเจ็ดสิบห้าไร่เท่านั้น ล้อมรอบด้วยรั้วความยาวทั้งหมดสามจุดสี่กิโลเมตรส่วนจํานวนประชากรก็มีเพียงประมาณแปดร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นนักบวชและแม่ชีที่เดินทางมาจากต่างประเทศ วาติกันเป็นเสมือนสํานักงานกลางศูนย์รวมจิตใจที่คอยปกป้องดูแลคริสตศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิกที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลกราวหนึ่งพันสองร้อยแปดสิบห้าคน เป็นที่ประทับขององค์พระสันตะปาปาผู้นําทางจิตวิญญาณประมุขสุดของนิกายความเป็นมาของเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ราวศตวรรษที่สี่
เมื่อมีการสร้างวิหารเซนต์ปีเตอร์บนพื้นที่ที่เป็นหลุมฝังศพของนักบุญปีเตอร์อัครสาวกของพระเยซูและพระสันตประปาองค์แรกที่ถูกทรมานจนสิ้นพระชนม์พร้อมกับการพัฒนาพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เป็นหอจดหมายเหตุเป็นพิพิธภัณฑ์ เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันอีสเตอร์ ซึ่งเป็นวันที่พระเยซูคริสต์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ชีพหลังถูกตรึงด้วยไม้กางเขนก่อนที่ความขัดแย้งระหว่างประมุขแห่งศาสนจักรกับผู้ปกครองประเทศหรือประมุขแห่งอาณาจักรจะถึงจุดแตกหักจนต้องมีการทําสนธิสัญญาในปีหนึ่งพันเก้าร้อยยี่สิบเก้าจัดตั้งรูปแบบของรัฐอิสระภายใต้การปกครองขององค์สันตะปาปาการบริหารแบบเดียวกันกับประเทศมีการปกครองของตนเอง มีธงชาติ มีเงินตราที่ใช้กันเป็นการเฉพาะ นครราชวัติการยังเป็นแหล่งรวมงานศิลปะชิ้นเอกแห่งศาสนจักรทั้งในด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรม อาทิ รูปปั้นแกะสลักดินแกะสลักหินอ่อนอันงดงาม ซึ่งในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเยือนกันเป็นจํานวนมากยังคงมีเรื่องราวแปลกๆในเชิงภูมิรัฐศาสตร์บนโลกใบนี้ให้เราได้ศึกษากันอีกมากมาย
สนับสนุนการจัดทำโดย ufalove